คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
จิต มีชื่อง ๑๐ ชื่อ ดังนี้คือ จิต, มโน, หทัย, มนัส, ปัณฑระ, มนายตนะ, มนินทรีย์, วิญญาณ, วิญญาณขันธ์, มโนวิญญาณธาตุ
นิพพาน ที่เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีการเกิดของสิ่งใดๆในนิพพานได้เลย
สิ่งใดมีเกิด สิ่งนั้นย่อมมีดับ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดไม่สามารถมีได้ในอายตนนิพพานนั้น
ดังนั้นในนิพพาน ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาน
เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เราไม่สามารถรับรู้อะไรได้ทั้งสิ้นหากปราศจากวิญญาน6 ในเมื่อไม่มีวิญญานเหลืออยู่อีก จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องมือรับรู้อีกต่อไป
ในนิพพานไม่มี สัญญา ไม่มีการจำได้ ไม่มีความจำก็ไม่มีการระลึกความจำได้เช่นกัน
ในนิพพานไม่มีสังขาร ปราศจากการปรุงแต่งทั้งปวง สภาพเช่นนี้จะคิดได้อย่างไร
ในนิพพานไม่มีรูป ไม่มีมิติรูปทรงใดๆทั้งสิ้น ไม่มีกว้างแคบทั้งปวง
ในนิพพานไม่มีความรู้สึกใดๆของเวทนาเลย ไม่รู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ แม้ทางกายหรือจิตก็ตาม เพราะไม่มีกาย ไม่มีจิต จะเอาอะไรมารับรู้
องค์ประกอบทุกปรการของมนุษย์คือขันธ์5นี้ คือที่สุด ไม่มีองค์ประกอบอื่นนอกจากนี้อีก แม้จิตเอง ก็เป็นการผสมผสานเอาคุณสมบัติของขันธ์5เกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่ามีอยู่ต่างหากจากขันธ์5
จิตมีคุณสมบัติ รับ จำ คิด รู้ ซึ่งอารมณ์
จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้ เป็นคุณสมบัติของของในขันธ์5ทั้งหมด หาใช่ว่ามีจิตอยู่ต่างหากไม่
เมื่อพระอรหันต์ยังไม่ตาย ท่านสามารถรับรู้พระนิพพานได้ อุปมาเหมือนบุรุษที่รับรู้ถึงการขาดหายไป ซึ่งแขนของตนเอง
ส่วนพระอรหันต์ที่เข้าอนุปาทิเสสนิพพานแล้วนั้น ย่อมไม่มีเครื่องมือที่จะรับรู้อีกต่อไป รวมถึงไม่มีสิ่งให้รับรู้ต่อไปด้วย เพราะอายตนนิพพานนั้น ไม่มีสิ่งใดๆเลย
ส่วนผู้ที่เห็นแล้วคิดว่า ถ้าอย่างนั้นนิพพานก็ขาดสูญน่ะสิ ข้อนี้ไม่ถูก นิพพานไม่สูญ
จะขออธิบายดังนี้
หากเรามีความคิดเห็นผิดไปเองว่าเงินในกระเป๋าเรามีอยู่ ต่อมาเมื่อเราล้วงกระเป๋าเราแล้วไม่พบเงิน เราจะพูดได้ไหมว่าเงินเราหายไป
คำตอบคือ เงินไม่ได้หายไป
ต่อมาเมื่อเราทราบว่าเงินไม่ได้หายไป เราก็จะคิดว่าในเมื่อมันไม่ได้หายไป แสดงว่ามันต้องมีอยู่
คำตอบคือ มันไม่ได้มีอยู่
เหมือนกัน
เราเข้าใจผิดเพราะอวิชชา เพราะอัตตวาทุปาทานไปเองว่า ตัวตนของเรามีอยู่ มีอาสวะเหนียวแน่นในความคิดเห็นนี้
ต่อมา เมื่อเราพบพระธรรมคำสั่งสอนถึงภาวะนิพพาน ว่าไม่เหลือขันธ์5ใดๆเลย
เราจึงคิดไปว่า ถ้าอย่างนั้น ตัวตนของเราขาดสูญ
ครั้นได้รับคำตอบว่า ตัวตนของเราไม่ได้ขาดสูญ
เราจึงคิดไปว่า ในเมื่อตัวตนเราไม่ได้ขาดสูญไป ตัวตนของเราก็ต้องมีอยู่
ครั้นได้รับคำตอบว่า ตัวตนของเราไม่ได้มีอยู่เช่นกัน จึงเกิดความฉงน งงงวยในเรื่องนี้ หาทางมาทางไปไม่ได้
จะเอายังไง ไม่ได้หายไป แต่ ก็ไม่ได้มีอยู่
บรรดาบุคคลผู้เห็นว่า "ตัวตนเราขาดสูญไป" บรรดาบุคคลเหล่านี้เป็น อุทเฉททิฏฐิ เป็นทางสุดโต่งด้านหนึ่ง
บรรดาบุคคลผู้เห็นว่า "ตัวตนของเราไม่ขาดสูญ มีความสืบต่อ ยั่งยืน" บรรดาบุคคลเหล่านั้นเป็น สัสสตทิฏฐิ เป็นทางสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
พระพุทธเจ้าไม่ทรงเข้าไปหาทางสุดโต่งทั้งสองสายนั้น ทรงแสดงธรรมในท่ามกลาง แนะนำทางสายกลาง
ส่วนต่อไปจะเป็นส่วนคำตอบของปัญหาที่ผู้คนเข้าใจผิดในเรื่องนิพพานนี้
คำตอบในเรื่องนี้คือ
ในเมื่อเราไม่เคยมีเงินอยู่แล้ว เราเข้าใจผิดไปเอง ยึดถือไปเองว่าเงินมีอยู่ ต่อมาเมื่อล้วงกระเป๋าเงิน พบความว่างเปล่า
ถามว่า เงินสูญหายไปใช่หรือไม่ (อุทเฉททิฏฐิ)
ตอบ ไม่ได้สูญหายไป
เพราะว่า มันไม่เคยมีตั้งแต่แรกแล้ว จะเอาอะไรมาหายล่ะ
ถามว่า ถ้าเงินไม่สูญหาย ก็คือต้องยังมีอยู่ใช่ไหม (สัสสตทิฏฐิ)
ตอบ เงินก็ไม่ได้มีอยู่เช่นกัน
เพราะว่า มันไม่เคยมีมาแต่แรกอยู่แล้ว จะเอาอะไรมามีล่ะ
สรุป เงินไม่เคยมีอยู่ แต่ ความเข้าใจผิดว่าเงินมีอยู่ นั้นมี
เช่นเดียวกัน อัตตานั้นไม่เคยมีอยู่ แต่ ความเข้าใจผิดว่าอัตตามีอยู่ นั้นมี
พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ถอนออกเสีย ซึ่งอัตวาทุปาทน ซึ่ง ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง5 ว่าเป็นตัวเป็นตน
พุทธพจน์
เกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ได้กล่าวถึงนิพพานว่าเป็น
"ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้
อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัย กระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ
(นิพพานสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๖๐/๑๔๔)
ความหวั่นไหวย่อมมีแก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิอาศัย ย่อมไม่มีแก่ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ (ความสงบ)
เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีความยินดี
เมื่อไม่มีความยินดี ก็ย่อมไม่มีการมา การไป
เมื่อไม่มีการมา การไป ก็ไม่มีการจุติและอุปบัติ
เมื่อไม่มีการจุติและอุปบัติ โลกนี้โลกหน้าก็ไม่มี ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
(นิพพานสูตรที่ ๔ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๖๑/๑๔๕)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาสนัญจายตนฌานบ้าง วิญญาณัญจายตนฌานบ้าง อากิญจัญยายตนฌานบ้าง เนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน
(ฌานสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๓/๒๔๐/๑๔๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้นเป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลิน มิได้แล้ว จักเย็น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล
(ธาตุสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๒๒๒/๑๙๒)
นิพพาน ที่เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีการเกิดของสิ่งใดๆในนิพพานได้เลย
สิ่งใดมีเกิด สิ่งนั้นย่อมมีดับ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดไม่สามารถมีได้ในอายตนนิพพานนั้น
ดังนั้นในนิพพาน ไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาน
เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เราไม่สามารถรับรู้อะไรได้ทั้งสิ้นหากปราศจากวิญญาน6 ในเมื่อไม่มีวิญญานเหลืออยู่อีก จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องมือรับรู้อีกต่อไป
ในนิพพานไม่มี สัญญา ไม่มีการจำได้ ไม่มีความจำก็ไม่มีการระลึกความจำได้เช่นกัน
ในนิพพานไม่มีสังขาร ปราศจากการปรุงแต่งทั้งปวง สภาพเช่นนี้จะคิดได้อย่างไร
ในนิพพานไม่มีรูป ไม่มีมิติรูปทรงใดๆทั้งสิ้น ไม่มีกว้างแคบทั้งปวง
ในนิพพานไม่มีความรู้สึกใดๆของเวทนาเลย ไม่รู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ แม้ทางกายหรือจิตก็ตาม เพราะไม่มีกาย ไม่มีจิต จะเอาอะไรมารับรู้
องค์ประกอบทุกปรการของมนุษย์คือขันธ์5นี้ คือที่สุด ไม่มีองค์ประกอบอื่นนอกจากนี้อีก แม้จิตเอง ก็เป็นการผสมผสานเอาคุณสมบัติของขันธ์5เกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่ามีอยู่ต่างหากจากขันธ์5
จิตมีคุณสมบัติ รับ จำ คิด รู้ ซึ่งอารมณ์
จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้ เป็นคุณสมบัติของของในขันธ์5ทั้งหมด หาใช่ว่ามีจิตอยู่ต่างหากไม่
เมื่อพระอรหันต์ยังไม่ตาย ท่านสามารถรับรู้พระนิพพานได้ อุปมาเหมือนบุรุษที่รับรู้ถึงการขาดหายไป ซึ่งแขนของตนเอง
ส่วนพระอรหันต์ที่เข้าอนุปาทิเสสนิพพานแล้วนั้น ย่อมไม่มีเครื่องมือที่จะรับรู้อีกต่อไป รวมถึงไม่มีสิ่งให้รับรู้ต่อไปด้วย เพราะอายตนนิพพานนั้น ไม่มีสิ่งใดๆเลย
ส่วนผู้ที่เห็นแล้วคิดว่า ถ้าอย่างนั้นนิพพานก็ขาดสูญน่ะสิ ข้อนี้ไม่ถูก นิพพานไม่สูญ
จะขออธิบายดังนี้
หากเรามีความคิดเห็นผิดไปเองว่าเงินในกระเป๋าเรามีอยู่ ต่อมาเมื่อเราล้วงกระเป๋าเราแล้วไม่พบเงิน เราจะพูดได้ไหมว่าเงินเราหายไป
คำตอบคือ เงินไม่ได้หายไป
ต่อมาเมื่อเราทราบว่าเงินไม่ได้หายไป เราก็จะคิดว่าในเมื่อมันไม่ได้หายไป แสดงว่ามันต้องมีอยู่
คำตอบคือ มันไม่ได้มีอยู่
เหมือนกัน
เราเข้าใจผิดเพราะอวิชชา เพราะอัตตวาทุปาทานไปเองว่า ตัวตนของเรามีอยู่ มีอาสวะเหนียวแน่นในความคิดเห็นนี้
ต่อมา เมื่อเราพบพระธรรมคำสั่งสอนถึงภาวะนิพพาน ว่าไม่เหลือขันธ์5ใดๆเลย
เราจึงคิดไปว่า ถ้าอย่างนั้น ตัวตนของเราขาดสูญ
ครั้นได้รับคำตอบว่า ตัวตนของเราไม่ได้ขาดสูญ
เราจึงคิดไปว่า ในเมื่อตัวตนเราไม่ได้ขาดสูญไป ตัวตนของเราก็ต้องมีอยู่
ครั้นได้รับคำตอบว่า ตัวตนของเราไม่ได้มีอยู่เช่นกัน จึงเกิดความฉงน งงงวยในเรื่องนี้ หาทางมาทางไปไม่ได้
จะเอายังไง ไม่ได้หายไป แต่ ก็ไม่ได้มีอยู่
บรรดาบุคคลผู้เห็นว่า "ตัวตนเราขาดสูญไป" บรรดาบุคคลเหล่านี้เป็น อุทเฉททิฏฐิ เป็นทางสุดโต่งด้านหนึ่ง
บรรดาบุคคลผู้เห็นว่า "ตัวตนของเราไม่ขาดสูญ มีความสืบต่อ ยั่งยืน" บรรดาบุคคลเหล่านั้นเป็น สัสสตทิฏฐิ เป็นทางสุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
พระพุทธเจ้าไม่ทรงเข้าไปหาทางสุดโต่งทั้งสองสายนั้น ทรงแสดงธรรมในท่ามกลาง แนะนำทางสายกลาง
ส่วนต่อไปจะเป็นส่วนคำตอบของปัญหาที่ผู้คนเข้าใจผิดในเรื่องนิพพานนี้
คำตอบในเรื่องนี้คือ
ในเมื่อเราไม่เคยมีเงินอยู่แล้ว เราเข้าใจผิดไปเอง ยึดถือไปเองว่าเงินมีอยู่ ต่อมาเมื่อล้วงกระเป๋าเงิน พบความว่างเปล่า
ถามว่า เงินสูญหายไปใช่หรือไม่ (อุทเฉททิฏฐิ)
ตอบ ไม่ได้สูญหายไป
เพราะว่า มันไม่เคยมีตั้งแต่แรกแล้ว จะเอาอะไรมาหายล่ะ
ถามว่า ถ้าเงินไม่สูญหาย ก็คือต้องยังมีอยู่ใช่ไหม (สัสสตทิฏฐิ)
ตอบ เงินก็ไม่ได้มีอยู่เช่นกัน
เพราะว่า มันไม่เคยมีมาแต่แรกอยู่แล้ว จะเอาอะไรมามีล่ะ
สรุป เงินไม่เคยมีอยู่ แต่ ความเข้าใจผิดว่าเงินมีอยู่ นั้นมี
เช่นเดียวกัน อัตตานั้นไม่เคยมีอยู่ แต่ ความเข้าใจผิดว่าอัตตามีอยู่ นั้นมี
พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ถอนออกเสีย ซึ่งอัตวาทุปาทน ซึ่ง ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ทั้ง5 ว่าเป็นตัวเป็นตน
พุทธพจน์
เกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ได้กล่าวถึงนิพพานว่าเป็น
"ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้
อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้วอันปัจจัย กระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้วเป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ
(นิพพานสูตรที่ ๒ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๖๐/๑๔๔)
ความหวั่นไหวย่อมมีแก่บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิอาศัย ย่อมไม่มีแก่ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ (ความสงบ)
เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีความยินดี
เมื่อไม่มีความยินดี ก็ย่อมไม่มีการมา การไป
เมื่อไม่มีการมา การไป ก็ไม่มีการจุติและอุปบัติ
เมื่อไม่มีการจุติและอุปบัติ โลกนี้โลกหน้าก็ไม่มี ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
(นิพพานสูตรที่ ๔ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๑๖๑/๑๔๕)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาสนัญจายตนฌานบ้าง วิญญาณัญจายตนฌานบ้าง อากิญจัญยายตนฌานบ้าง เนวสัญญานาสัญญายตนฌานบ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด ความดับ นิพพาน
(ฌานสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๓/๒๔๐/๑๔๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้นเป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้นให้เพลิดเพลิน มิได้แล้ว จักเย็น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล
(ธาตุสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๕/๒๒๒/๑๙๒)
แสดงความคิดเห็น
ถ้าเข้านิพพานไปแล้วเรายังสามารถคิด หรือยังรับรู้อะไรได้หรือไม่